ping rss 20935293-2

วันศุกร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2554

เงินสี่ด้าน คนสี่ประเภท

เงินสี่ด้าน  CashFlow Quadrant จากหนังสือ Richdad Poordad พ่อรวยสอนลูก

หลายๆ ท่านที่ไม่ได้ทำเครือข่ายอาจจะงงๆ ว่า เงินทำไมถึงมีสี่ด้าน เงินก็คือเงินไม่ใช่หรอ...
ใช่ครับ เงินก็คือเงิน แต่ที่มาของเงินนั้นได้มาไม่เหมือนกันครับ หนังสือเล่มนี้ถูกแต่งขึ้นโดย...
คุณ Robert T. Kiyosaki (โรเบิร์ต คิโยซากิ) ปัจจุบันเป็นนักธุรกิจที่มีความเชี่ยวชาญด้านการเงินที่มีชื่อเสียง นักลงทุน ผู้บรรยาย และผู้แต่งหนังสือขายดีที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกมากกว่า 10 ตอน ซึ่งเล่มแรกถูกเขียนขึ้นมาเมื่อปี พ.ศ. 2540 แล้วก็โด่งดังมากๆ จนถึงปัจจุบัน ทุกท่านสามารถหาอ่านได้ตามร้านหน้งสือชั้นนำทั่วไปครับ

เนื้อหาของบทความนี้ ได้สรุปหนังสือเล่มที่ 2 เรื่อง เงินสี่ด้าน ซึ่งเหมาะกับคนที่ต้องการเปลี่ยนด้านที่ตนยืนอยู่

สำหรับ "ลูกจ้าง" และ "คนทำธุรกิจส่วนตัว" ที่ต้องการก้าวไปเป็น "เจ้าของกิจการ" หรือ "นักลงทุน"

และยังเหมาะสำหรับทุกคนที่ต้องการมากกว่าความมั่นคงของงานนั่นคือความมั่นคงทางการเงิน นี่ไม่ใช่เส้นทางที่ปูลาดด้วยกลีบกุหลาบ แต่มั่นใจได้ว่าจุดหมายปลายทางนั้นคุ้มค่าแก่ความพยายามยิ่งนัก เพราะสุดทางเส้นนี้คือ "อิสระภาพทางการเงิน"


E S B I คุณเป็นคนประเภทไหน ??

1. ลูกจ้าง Employee ฝั่งซ้ายบน E       3. การเป็นเจ้าของกิจการ Business Owner ฝั่งขวาบน B
2. การทำธุรกิจส่วนตัว Self-employed ฝั่งซ้ายล่าง S  4. นักลงทุน Investor ฝั่งขวาล่าง I

เงินสี่ด้าน,Cashflow quadrant,richdad poordad,ธุรกิจเครือข่าย,ลูกจ้าง,ธุรกิจส่วนตัว,งานประจำ,อิสระภาพ,โรเบิร์ต คิโยซากิ,Rober T. Kiyosaki


E (Employee) - ลูกจ้าง
- รับค่าตอบแทนเป็นเงินเดือน
- รายได้ตามตำแหน่งงานที่ได้รับมอบหมาย
- นายจ้างเป็นผู้กำหนดวิถีชีวิตและเงินเดือนให้คุณ
- ขาดอิสรภาพ ต้องเซ็นต์ชื่อ ตอกบัตร
- ตกงานเท่ากับล้มละลาย
- (ตกงาน 3 เดือน ไม่ต่างจากคนล้มละลาย)
- อยู่ในวงจรหนี้สิน ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ฯลฯ

S (Self-employed) - ทำธุรกิจส่วนตัว
- ขายเวลาแลกกับเงิน จ้างตัวเองทำงาน
- ชอบคิดเองทำเอง, ควบคุมทุกอย่างด้วยตัวเอง
- ขาดประสบการณ์
- เจอคู่แข่งที่มีทุนหนากว่า
- อาจจะทนทำ เพราะชอบ อิสระ แต่ไม่มี อิสรภาพ

B (Business Owner) - เจ้าของธุรกิจ
- มีทุน
- หาคนเก่งๆ มาทำงานให้
- ไม่ทำก็มีรายได้
B มีหลายประเภท
- บริษัท
- แฟรนไซน์
- การตลาดแบบเครือข่าย (เป็นช่องทางที่จะเป็น
- เจ้าของกิจการ ที่มีความเสี่ยงน้อย)

I (Investor)
- นักลงทุน
- ไม่ได้ทำงานเพื่อเงิน
- มองผลตอบแทนจากการปันผล ดอกเบี้ย
- ซื้อกิจการมาปรับปรุง แล้วขายต่อ


คนฝั่งซ้าย                                          คนฝั่งขวา
มี ความกลัว เป็นตัวขับเคลื่อน   มี ความฝัน (ความใฝ่ฝัน) เป็นตัวขับเคลื่อน
ยึดติดกับงานประจำ                 พยายามสร้างงาน
รายได้จำกัด                           รายได้ไม่จำกัด
ไม่มีเป้าหมายในชีวิต               มีเป้าหมายชัดเจน
มองเห็นอุปสรรค                     มองเห็นโอกาส
ไม่เข้าใจคำว่า ทรัพย์สิน หนี้สิน เข้าใจคำว่าทรัพย์สิน - หนี้สิน
ทำงานเพื่อเงิน                       ใช้เงินทำงาน
คิดถึงความเสี่ยง                     คิดถึงความน่าเสี่ยง
ยึดติดกับสิ่งเก่า                      เรียนรู้สิ่งใหม่
ไม่มีแผนงาน                          มีแผนงานชัดเจน
ดำเนินชีวิตด้วยตัวเอง              มีที่ปรึกษา
ชอบออกความเห็น                 ชอบหาความจริง
ชอบมีเงินสดเยอะๆ                 ชอบมี กระแสเงินสด สม่ำเสมอ
ชอบแสดงตัวว่าเก่ง                ชอบมองหาคนเก่ง
ชอบวิธีการ                           ชอบวิธีคิด
ชอบการเฉลี่ย (ขจัดความเสี่ยง) ชองการจดจ่อ (Focus)
ถูกระบบความคุม                   ความคุมระบบ
เป็นส่วนหนึ่งของระบบ            เป็นเจ้าของระบบ
เรียนเพื่อประกาศนียบัตร          เรียนเพื่อหาความรู้
ทำงานเพื่อคนอื่น                  สร้างงานเพื่อคนอื่น
อยากทำบุญแต่ไม่มีงบ           ทำบุญทุกครั้งที่มีโอกาส

แล้วคุณเลือกอยู่ฝั่งไหน???

เพื่อให้เห็นความแตกต่างระหว่างด้าน S (Self-employed) - ทำธุรกิจส่วนตัว และ B (Business Owner) - เจ้าของธุรกิจ จะขอสรุปจากคำพูดของคุณโรเบิร์ต คิโยซากิ ให้อย่างนี้นะครับ

...เมื่อคนส่วนใหญ่ในด้าน E(Employee) ลูกจ้าง พูดว่า "ผมต้องการทำอะไรที่เป็นของตัวเอง" พวกเขาก็จะเริ่มโยกย้ายตัวเองจากด้าน E และก้าวสู่ด้าน S(Self-employed) ทำธุรกิจส่วนตัว และมันก็จะเข้าสู่วัฏจักรที่ไม่มีวันจบ เพราะว่าทุกคนจะต้องพึ่งคุณ รัฐบาลก็ต้องพึงภาษีจากการทำงานของคุณ ลูกจ้างก็ต้องพึ่งคุณ และแล้วคุณก็จะไม่มีเวลาว่างเลย เพราะว่าถ้าคุณไม่ทำงานรายได้ก็หยุด นี่เป็นส่วนที่ยากที่สุดและนี่เป็นสิ่งที่ธุรกิจขนาดย่อมทั่วโลกต้องเผชิญอยู่ เจ้าของธุรกิจส่วนตัว (S) ต้องทำงานเสมือนเครื่องจักร และก็พบว่ามีไม่กี่คนที่สามารถร่ำรวยได้จากด้านนี้ แต่พวกเขาต้องทำงาน ทำงานแล้วก็ทำงาน นี่เป็นจุดที่ S แตกต่างจาก B เพราะเมื่อไรที่ S นักธุรกิจขนาดย่อมหยุดทำงาน รายได้ก็หยุดไปด้วย แต่ขณะที่นักธุรกิจในด้าน B หยุดทำงาน รายได้เขายังคงไหลมาอย่างต่อเนื่อง...
ถึงตรงนี้คุณว่าด้านไหนละที่ดีกว่ากัน?

สรุปอีกครั้ง...
งานประจำนั้นดี แต่ไม่ทำให้ร่ำรวยได้ มีแต่หนี้ ถ้าต้องการความสำเร็จ ต้องเป็นเจ้าของธุรกิจ ธุรกิจมี 2 ประเภท คือรวยแต่หยุดทำไม่ได้ กับรวยแล้วพักได้โดยรายได้ไม่หยุด

หากคุณเลือกประเภทที่ 2...คำถาม แล้วมีธุรกิจอะไรบ้างหรอ ที่รวยแล้วพักได้โดยรายได้ไม่หยุด? คำตอบคือ...
1). กิจการใหญ่ (ซีพี,AIS เป็นต้น)
2). เจ้าของแฟรนไชส์ (แมคโดนัลด์,7-11 เป็นต้น)
3). ธุรกิจเครือข่าย

-การตลาดเครือข่าย เป็นเสมือนโรงเรียนสอนนักธุรกิจ ที่ช่วยให้คุณย้ายฝั่งได้ง่าย ได้ผล และปลอดภัยที่สุด
-บริษัทเครือข่ายการตลาดที่ดีจะต้องมีระบบพัฒนาตัวคุณอย่างสมบูรณ์แบบ(โดยสอนให้คุณเป็นนักธุรกิจ เพื่อเป็นเจ้าของธุรกิจ ไม่ใช่สอนให้คุณเป็นเซลล์แมนหรือเพียงทำให้คุณมีรายได้ไปวันๆ บนความมั่นคงที่ไม่แน่นอน)

คนที่รวยที่สุดในโลกล้วนแสวงหา การสร้างเครือข่าย ในขณะที่ผู้คนส่วนใหญ่กำลังหางานทำ หากคุณมีความคิดสร้างสรรอันยิ่งใหญ่ หรือสินค้าอันดีเยี่ยมปานใดก็ตาม มีเพียงหนทางเดียวที่จะนำท่านสู่ความสำเร็จ คือ การใช้เครือข่ายการประชาสัมพันธ์ และเครือข่ายการจัดจำหน่ายสินค้า เหล่านั้นสู่มือผู้บริโภคอย่างได้ผล

เป็นอย่างไรกันบ้างครับ กับความรู้เรื่อง เงินสี่ด้าน นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งจากหนังสือชุดที่ 2 ผมได้เพิ่มบทความ สรุปเนื้อหาพ่อรวยสอนลูก Richdad Poordad เล่ม 1 ไว้ในหัวข้อ ความรู้ในการพัฒนาตัวเอง บทความนี้เหมาะกับใคร? เหมาะกับคนที่ต้องการจะพัฒนาความรู้ของตัวเอง ในด้านความคิดที่มีต่อเรื่องเงินๆ ทองๆ แนวคิดในการสร้างทรัพย์สิน รวมถึงอุปนิสัยที่มีต่อเรื่องเงิน หากต้องการความรู้ที่ยอดเยี่ยมกว่านี้ ก็สามารถหาหนังสืออ่านเพิ่มเติมได้ครับ

สำหรับใครที่ยังงงๆ กับชีวิต...
ยังไม่เข้าใจว่า ธุรกิจเครือข่าย จะย้ายตัวเราให้ไปอยู่ฝั่งขวาได้อย่างไร มีจุดเด่นๆ อะไรบ้าง ผมแนะนำให้อ่านบทความต่อไป... จุดเด่นของธุรกิจเครือข่าย

แล้วพบกันครับ






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น